วันเสาร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2561

[ ChemNews 9 ]


Isotopes


        Isotopes are atoms with the same number of protons, but differing numbers of neutrons. In other words, the have different atomic weights. Isotopes are different forms of a single element.
        There are 275 isotopes of the 81 stable elements. There are over 800 radioactive isotopes, some of which are natural and some synthetic. Every element on the periodic table has multiple isotope forms.
        The chemical properties of isotopes of a single element tend to be nearly identical. The exception would be the isotopes of hydrogen since the number of neutrons has such a significant effect on the size of the hydrogen nucleus. The physical properties of  isotopes are different from each other since these properties often depend on mass.                This difference may be used to separate isotopes of an element from each other by using fractional distillation and diffusion.


       With the exception of hydrogen, the most abundant isotopes of the natural elements have the same number of protons and neutrons. The most abundant form of hydrogen is protium, which has one proton and no neutrons.

Isotope Notation
There are a couple of common ways to indicate isotopes:


  • List the mass number of an element after its name or element symbol. For example, an isotope with 6 protons and 6 neutrons is carbon-12 or C-12. An isotope with 6 protons and 7 neutrons is carbon-13 or C-16. Note the mass number of two isotopes may be the same, even though they are different elements. For example, you could have carbon-14 and nitrogen-14.
  • The mass number may be given in the upper left side of an element symbol. (Technically the mass number and atomic number should be stacked in line with each other, but they don't always line up on a computer.) For example, the isotopes of hydrogen may be written: 11H, 21H, 31H
These are the isotopes of hydrogen.



[ ข่าวเคมีและเกร็ดความรู้9 ]

ชื่อและอักษรย่อในใบกำกับสารเคมีเกษตรหมายถึงอะไร?


ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ฉลากสารเคมีเกษตร


        เมื่อมีความจำเป็นต้องซื้อสารเคมีทางการเกษตร เช่น สารกำจัดเมลง สารกำจัดโรคพืช หรือสารควบคุมการเจริญเติบโตของพืช (ฮอร์โมนพืช) ซึ่งมีขายมากมายหลายยี่ห้อในท้องตลาด บางครั้งก็มีชื่อยี่ห้อคล้ายกันบ้างต่างกันบ้าง ทำให้เกิดความสับสน โดยเฉพาะกับใบกำกับที่ติดมากับสารเคมีนั้น ซึ่งมีชื่อและอักษรย่อต่างกันไป ชื่อและอักษรย่อบนใบกำกับมีความหมายดังนี้
ชื่อการค้า (Trade name) เป็นชื่อที่บริษัทผู้ขายสารเคมีตั้งขึ้นและจดทะเบียนใช้เป็นชื่อการค้าของ บริษัทนั้น การตั้งชื่อการค้ามักตั้งชื่อเพื่อให้เกิดความน่าสนใจในตัวสินค้า บางครั้งก็ใช้ชื่อบริษัทร่วมกับชื่อที่แสดงความหมายว่าเป็นชื่อสารเคมีเกษตรนั้นหรือชื่อสามัญของสารนั้น  บางครั้งก็ใช้ชื่อแสดงสรรพคุณของสารนั้น นอกจากนี้ยังอาจมีหลายบริษัทที่ผลิตสารเคมีชนิดเดียวกันแต่มีชื่อทางการค้า ต่างกัน

        ชื่อสามัญ (Common name) เป็นชื่อสารเคมีเกษตรซึ่งทางวิชาการถือว่าเป็นชื่อกลางๆ และใช้กันทั่วไป เช่น แคปแทน (Captan) พาราไธออน (Parathion) มาลาไธออน (Malathion) เป็นต้น ดังนั้นการเลือกซื้อสารเคมีเกษตรจึงควรรู้จักชื่อสามัญของสารนั้น
        ชื่อผูกขึ้น (Code name) ผูกขึ้นจากชื่อเรียกตามภาษาทางเคมี ซึ่งมักเป็นชื่อที่ยืดยาว การผูกชื่อมักจะใช้อักษรหน้าของคำมาผูกใหม่สั้นๆ เมื่อเรียกนานๆ ไปก็เคยชินจนเป็นที่ทราบกันดี เช่น ดีดีที ย่อมาจากคำ Di-phynyl Di-ethyl Tri-chloroethane ซึ่งเป็นอินทรีย์เคมีสาร
        ชื่อสารออกฤทธิ์ (Active ingredient หรือ a.i.) หมายถึง เนื้อสารจริงๆ ที่จะแสดงผลต่อพืชได้ตามคุณสมบัติที่สารนั้นมีอยู่ มักจะบอกเป็นความเข้มข้นของสารออกฤทธิ์ในสารผสมทั้งหมด เช่น เปอร์เซ็นต์ของสารออกฤทธิ์ในสารผสมทั้งหมด หรือแสดงหน่วยน้ำหนักต่อปริมาตร บางบริษัทอาจใช้คำว่า สารสำคัญ แทนคำว่า สารออกฤทธิ์ บางครั้งก็ใช้ชื่อสารเคมี

     สภาวะของสารเคมี เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ควรศึกษาและพิจารณา สารเคมีอาจผลิตออกจำหน่ายในสภาวะต่างๆ กัน โดยเหตุผลที่ต่างกันไป บางทีก็ใช้อักษรย่อหรือคำเต็มแสดงสภาวะของสารเคมีเหล่านั้นติดไว้ที่ฉลากของภาชนะ ซึ่งมีความหมาย ดังนี้

คำย่อ WSC
คำเต็ม Water Soluble Concentrate สารละลายเข้มข้น 
สภาวะ เป็นผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในรูปสารละลายใส เมื่อจะใช้จึงนำมาผสมน้ำ จะได้สารละลายใสเช่นกัน

คำย่อ EC
คำเต็ม Emulsifiable Concentrate สารละลายน้ำมัน
สภาวะ สารละลายบางชนิดละลายได้ดีในน้ำมัน จึงต้องเตรียมอยู่ในรูปน้ำมัน แต่สารที่อยู่ในรูปน้ำมันนี้เมื่อนำไปผสมกับน้ำจะไม่รวมเป็นเนื้อเดียวกัน ทางผู้ผลิตจึงผสมสารที่ช่วยให้น้ำมันกับน้ำรวมตัวกันได้ดีขึ้นและไม่แยกชั้น เรียกสารนี้ว่า Emulsifier ผลิตภัณฑ์ในรูปนี้เมื่อผสมกับน้ำจะได้สารผสมที่มีลักษณะขุ่นเหมือนน้ำนม แต่ไม่ตกตะกอนหรือแยกชั้น

คำย่อ SC
คำเต็ม Suspension Concentrate สารแขวนลอยเข้มข้น
สภาวะ เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีลักษณะขุ่นคล้ายแป้งผสมน้ำ เมื่อจะใช้จึงนำมาผสมน้ำ จะได้สารผสมซึ่งขุ่นคล้ายแป้งผสมน้ำเช่นกัน

คำย่อ WSP
คำเต็ม Water Soluble Power ผงละลายน้ำ
สภาวะ เป็นผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในรูปผง เมื่อจะใช้จึงนำมาผสมน้ำ จะได้สารละลายใสไม่ตกตะกอน

คำย่อ WP
คำเต็ม Wetable Power ผงเปียกน้ำ
สภาวะ เป็นผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในรูปผง เมื่อจะใช้จึงนำมาผสมน้ำ จะได้สารแขวนลอยลักษณะขุ่นคล้ายแป้งผสมน้ำ ผลิตภัณฑ์ในรูปนี้มักมีส่วนผสมของสารที่มีคุณสมบัติผลักดันอนุภาคของแข็งชนิดเดียวกันให้แยกออกจากกัน ทำให้อนุภาคเล็กๆ เหล่านี้แขวนลอยอยู่ได้นานโดยไม่ตกตะกอน เรียกสารชนิดนี้ว่า Dispersants

คำย่อ 
คำเต็ม Dust ผง
สภาวะ เป็นผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในรูปผง เตรียมขึ้นมาเพื่อใช้ประโยชน์ได้โดยตรง ไม่ต้องผสมน้ำหรือสารใดๆ อีก

คำย่อ G
คำเต็ม Granule เม็ด
สภาวะ เป็นผลิตภัณฑ์ที่เตรียมเป็นเม็ดเพื่อใช้ประโยชน์ได้โดยตรง หรือละลายน้ำก่อนนำไปใช้

คำย่อ P
คำเต็ม Paste ครีม
สภาวะ เป็นผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในรูปของสารกึ่งแข็งกึ่งเหลว เตรียมขึ้นมาเพื่อใช้ประโยชน์ได้โดยตรง โดยการทาหรือป้ายในบริเวณที่ต้องการ

คำย่อ F
คำเต็ม Fumigant รมควัน
สภาวะ อาจเป็นผงหรือนำมาอัดเป็นเม็ดหรือเป็นน้ำ แต่เมื่อจะใช้งานนำมาทำให้เป็นควัน ใช้รม

คำย่อ A
คำเต็ม Aerosol ละออง
สภาวะ เตรียมอยู่ในภาชนะที่มีแรงอัดอยู่ภายใน เมื่อพ่นจะกระจายออกมาเป็นหมอกละออง หรือที่มักเรียกกันว่าสเปรย์

          สารเคมีที่มีสภาวะต่างๆ ดังที่กล่าวมานี้ จะเห็นได้ว่า ผู้ผลิตมีความประสงค์ที่จะทำให้สารเคมีมีสภาวะเป็นอย่างหนึ่งอย่างใด เพื่อประโยชน์ในการใช้โดยเฉพาะ จึงจำเป็นต้องระมัดระวังในการใช้ให้ถูกต้อง เพื่อให้สารเคมีเหล่านั้นอำนวยประโยชน์ตามความมุ่งหมายได้อย่างเต็มที่

          ความเข้มข้นของสารเคมี สารเคมีเกษตรที่จำหน่ายในท้องตลาดทั่วๆ ไปประกอบขึ้นด้วยเนื้อสารเคมีซึ่งเป็นสารออกฤทธิ์และสารอื่นๆ ที่ใส่เป็นสารผสม เพื่อให้มีความเข้มข้นตามประสงค์ บางทีอาจพบว่ามีสารเคมีที่ใช้ชื่อทางการค้าต่างกัน เมื่ออ่านดูจะพบว่าเป็นสารเคมีชนิดเดียวกัน แต่มีความเข้มข้นหรือเปอร์เซ็นต์สารออกฤทธิ์สูงต่ำต่างกัน เช่น 25 เปอร์เซ็นต์ ย่อมมีเนื้อสารออกฤทธิ์สูงเป็น 5 เท่าของ 5 เปอร์เซ็นต์ เป็นต้น ดังนั้นการใช้สารเคมีเกษตรจะใช้มากน้อยเท่าใด หรือมีความเข้มข้นแค่ไหน ย่อมขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของเนื้อสารออกฤทธิ์ที่มีอยู่ในสารเคมีนั้น ส่วนการพิจารณาเปรียบเทียบราคาก่อนตกลงซื้อ ก็ควรจะเปรียบเทียบจากความเข้มข้นที่ต่างกันด้วย โดยคิดว่า ถ้าหากเนื้อสารออกฤทธิ์ที่แท้จริงอยู่ในสารเคมีปริมาณเท่าๆ กันแล้ว ชนิดไหนถูกแพงกว่ากัน การบอกความเข้มข้นของสารเคมีเกษตร มีดังนี้
เปอร์เซ็นต์ %
       จำนวนส่วนใน 100 ส่วน เช่น NAA 5% หมายความว่าในสารละลาย 100 ส่วน จะมี NAA อยู่ 5 ส่วน




โมล่าร์ Molar
        ปริมาณกรัมโมเลกุลของสารในสารละลาย 1 ลิตร เช่น IAA มีความเข้มข้น 1 โมล่าร์ หมายความว่า ในสารละลาย 1 ลิตร จะมี IAA อยู่ 1 กรัม โมเลกุล ซึ่ง IAA มีน้ำหนักโมเลกุลเท่ากับ 175.2 กรัมต่อโมล



น้ำหนักต่อปริมาตร weigth per volume , w/v
        น้ำหนักของเนื้อสารในสารผสมหนึ่งปริมาตร เช่น 1 กรัมต่อลิตร หมายความว่ามีเนื้อสารอยู่ 1 กรัม ในสารละลาย 1 ลิตร

น้ำหนักต่อน้ำหนัก weigth per volume , w/w
        น้ำหนักของเนื้อสารในสารผสมหนึ่งน้ำหนัก เช่น 1 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม หมายความว่ามีเนื้อสารอยู่ 1 มิลลิกรัม ในสารผสม 1 กิโลกรัม


ส่วนต่อล้านส่วน part per
        จำนวนส่วนของเนื้อสารในสารละลาย 1 ล้านส่วน เช่น SADH 1,000 ppm หมายถึงสารละลาย 1 ล้านส่วน มี SADH 1,000 ส่วน

แหล่งที่มา 

วันอาทิตย์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2561

[ ChemNews 8 ]


Uses for Baking Soda

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ baking soda


1.Freshen your breath


Mix 1 tsp of baking soda in a glass of water. Swish, spit, and rinse. Easy mouth wash that neutralizes odors.

2.
Gently exfoliate


Here’s a simple way to gently get rid of dead skin: Mix 3 parts of baking soda to 1 part water. Rub gently in a circular motion and then rinse clean.

3.Relieve heartburn and more

Baking soda is a safe antacid.

4.Keep your brushes and combs clean

Baking soda is great to help naturally remove oils, build up, and residue on your combs and brushes. Simply soak in a solution of water and baking soda (about 1 tsp of baking soda to a cup of water). Rinse and dry thoroughly.
5.Easy Microwave Cleanup
Sprinkle some baking soda on a damp cloth and gently scrub away any microwave mess. Cleans and deodorizes.

Reference

[ ข่าวเคมีและเกร็ดความรู้8 ]


ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ น้ำส้มสายชู

ประโยชน์ของน้ำส้มสายชู



1. แก้ปัญหาท่ออุดตัน ผสม น้ำส้มสายชู 1 ถ้วยกับ
เบกกิ้งโซดาครึ่งถ้วย เทลงในท่ออ่างล้างจาน รอให้ฟองหายไปหมด แล้วล้างออกด้วยน้ำร้อน
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ baking soda
2. ลบคราบเทปกาว ฉีดน้ำส้มสายชู ไปที่คราบเทปกาว รอสักพัก แล้วเช็ดคราบออก
3. กำจัดกลิ่นถังขยะ ราดน้ำส้มสายชู บนขนมปังให้ชุ่ม ห่อด้วยกระดาษแล้วทิ้งไว้ก้นถังขยะข้ามคืน
4. ทำน้ำยาทำความสะอาดด้วยตัวเอง เท น้ำส้มสายชู ลงในกระบอกฉีดน้ำประมาณ 1/3 ขวด เติมน้ำจนเกือบเต็มขวดและผสมน้ำยาล้างจานเล็กน้อย เขย่าให้เข้ากัน ก็ใช้ทำความสะอาดได้ทั้งครัวและห้องน้ำ
5. ทำกับดักแมลงวัน เทน้ำส้มสายชูที่หมักจากแอปเปิ้ล (Apple Cider Vinegar) ลงในถ้วยใบเล็ก ครอบปากถ้วยด้วยพลาสติกห่ออาหาร ใช้มีดเจาะพลาสติกประมาณสองสามรูเพื่อล่อแมลง
6. ลบรอยย่นบนเสื้อผ้า ผสม น้ำส้มสายชู 1 ส่วนต่อน้ำ 3 ส่วน ฉีดน้ำยาที่ผสมแล้วบนรอยยับ แขวนเสื้อผ้าทิ้งไว้สักครู่เพื่อให้รอยยับคลายตัว
7. แก้ปัญหาแมวข่วนเฟอร์นิเจอร์ ฉีดน้ำส้มสายชูลงบนเฟอร์นิเจอร์เล็กน้อย แมวเกลียดกลิ่นน้ำส้มสายชู มันจะไม่เข้าใกล้เฟอร์นิเจอร์ชิ้นนั้นเลย
8. รักษาความสดของดอกไม้ ผสมน้ำส้มสายชูที่หมักจากแอปเปิ้ลกับน้ำ เติมลงในแจกันดอกไม้
9. ทำความสะอาดแว่นตา ฉีดน้ำส้มสายชูที่เลนส์แว่นเล็กน้อย เช็ดด้วยผ้านุ่มๆ
10. กำจัดคราบบนกระทะ ผสมน้ำส้มสายชู 1 – 2 ถ้วยกับน้ำในอัตราส่วนเดียวกัน เทลงบนกระทะ ตั้งไฟให้เดือดประมาณ 5 นาที

วันอาทิตย์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2561

[ ChemNews 7 ]

Thermometers

        

        There are many types of thermometers available. The most common type are the digital thermometers. These can be used at any age from birth. They are easy to use and accurate, and are usually the cheapest. The electronic ear thermometer is expensive, and it is not suitable for use in small babies.

How to use a digital thermometer

          Digital thermometers can be used for all ages. They give a digital read out. There are a number of brands. They are usually the cheapest option. You need to read and follow the instructions that come with your one.
If your child is under 5 years, you can use the digital thermometer under the arm. If you measure the temperature under the arm, it records about half to 1 (0.5 - 1.0) degree Celsius lower than the core temperature.
To use a digital thermometer under the arm (the axillary temperature):
  • Taking temperature under the arm1.turn it on (these thermometers usually have a button you press to turn on)
  • 2.place the end in the armpit against the skin, and bring your child's arm down over the top of it. It often helps to hug your child to keep the arm down and the thermometer in place

        most thermometers beep when they have finished meansuring your child's temperature 
        some thermometers also beep while measuring and the beep changes when the thermometer has finished measuring your child's temperature. To avoid confusion, it is worth keeping the thermometer in place for 2 minutes
remove the thermometer and read the number on the side. The temperature you read is about half to 1 degree Celsius lower than your child's actual body or core temperature

Photo showing a thermometer in a child's mouth

          If your child is 5 years of age or older you can try to measure the temperature in the mouth (the oral temperature). Make sure you only use a digital thermometer in your child's mouth.
To use it in the mouth in older children:
  • 1.your child has to be able to cooperate, which usually means they are of school age
  • 2.turn it on
  • 3.place the end in the mouth under the side of the tongue. Try to get your child to keep it there
          some thermometers make beeping noises when they have finished, but it is worth keeping it in place for at least 2 minutes
  • 4.remove the thermometer and read the number on the side. The temperature you read in in degrees Celsius is close to your child's actual body or core temperature

How to use an ear thermometer

Photo of an ear thermometer        The electronic or infrared ear thermometer is fast and accurate if it is used correctly. It can be used in older children but is not recommended for use in young babies.
        There are a number of brands.  They are more expensive than digital thermometers.
        Read the instructions for your thermometer to find out how to turn it on and take the reading. When placing the measuring end in the ear, be gentle. You do not have to push it far into the ear canal, just at the entrance.

How to use an infrared forehead thermometer

        Infrared forehead thermometers are quick and easy to use, as you simply point them at your child's forehead. But, they are expensive and it is not clear how accurate they are. They measure the forehead skin temperature which changes a lot with blood flow and room temperature.

Plastic strip thermometer

        These are plastic strips that you place on your child's forehead. They are not accurate, and we don't recommend them.

Mercury-in-glass thermometer

        These old style thermometers are no longer available but some households still have them. Mercury vapour can be toxic if the thermometer breaks, so we recommend you don't use these thermometers and consider getting a digital thermometer instead.
Mercury in glass thermometer

Reference

[ ข่าวเคมีและเกร็ดความรู้7 ]

เอทานอล (ethanol) แอลกอฮอล์กินได้


ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ แอลกอฮอล์ ดื่มได้


แอลกอฮอล์คืออะไร

        แอลกอฮอล์ เป็นสารประกอบอินทรีย์ที่มีหมู่ฟังก์ชันไฮดรอกซิล Hydroxyl (-OH) ทำพันธะกับอะตอมคาร์บอนของหมู่แอลคิล (R-) เป็นสารประกอบไฮโดรคาร์บอนที่เป็นสายตรง เมื่อทำปฏิกิริยากับโลหะ จะเกิดปฏิกิริยาแทนที่และให้ก๊าซไฮโดรเจน ออกมา ซึ่งถือเป็นคุณสมบัติทางเคมีที่ใช้บ่งบอกความเป็นแอลกอฮอล์ได้
        ลักษณะทั่วไปที่สำคัญของแอลกอฮอล์ คือ เป็นสารที่ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ติดไฟได้ และสามารถละลายน้ำได้ดีเพราะแรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลแบบมีขั้ว (Dipole Interactions) ซึ่งทำให้แอลกอฮอล์สามารถละลายน้ำได้ดีเนื่องจากเป็นสารละลายมีขั้วเหมือนกันกับน้ำ

แอลกอฮอล์แบบไหนกินได้

        เรารู้กันอยู่แล้วว่าเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ต่าง ๆ นั้นสามารถกินได้ ถึงแม้ว่าจะกินแล้วเมา ๆ หน่อยก็เถอะ แต่แอลกอฮอล์แบบไหนกันล่ะที่สามารถกินได้ คำตอบก็คือ เอทานอล (Ethanol) หรือเอทิลแอลกอฮอล์ (Ethyl Alcohol) มีสูตรเคมีคือ C2H5OH หรือ CH3-CH2-OH

การผลิตเอทานอล

        เอทานอลเป็นแอลกอฮอล์ที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย เพราะเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการหมักน้ำตาล หรือใช้ในการหมักเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เช่น เบียร์ สุรา ที่ใช้พืชตระกูลข้าวโพด มอลต์ ข้าวบาร์เลย์ในการหมักควบคู่กับยีสต์ เอนไซม์จากยีสต์ที่ผสมลงไปจะคอยทำหน้าที่เปลี่ยนให้คาร์โบไฮเดรตในพืชชนิดดังกล่าวเป็นน้ำตาลกลูโคส และเปลี่ยนจากน้ำตาลกลูโคสเป็นเอทานอลในที่สุด
        ในส่วนของแอลกอฮอล์สำหรับการบริโภค สามารถบริโภคได้แน่นอนในปริมาณที่เหมาะสม ความเข้มข้นของแอลกอฮอล์ในเครื่องดื่มต้องเป็นไปตามปริมาณการดื่ม 1 ดื่มมาตรฐาน

เอทานอลที่ห้ามกิน 

        นอกจากการดื่มแล้ว แอลกอฮอล์อย่างเอทานอลยังใช้ผสมในเครื่องสำอางหรือล้างแผลได้ เพราะไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย แต่ต้องใช้ในปริมาณและความเข้มข้นที่เหมาะสม แต่สำหรับส่วนของแอลกอฮอล์สำหรับใช้ภายนอกหรือเรียกว่า เมทานอลหรือเมทิลแอลกอฮอล์นั้น ไม่สามารถกินได้ เพราะเกินปริมาณที่ร่างกายจะรับได้ อาจเกิดอันตรายต่อร่างกายได้

แหล่งที่มา 

วันอาทิตย์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2561

[ ChemNews 6 ]

What make popcorn pop?


ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ popcorn

        If you've ever wondered what's going on inside your microwave as you pop up this tasty treat, grab a front-row seat and find out what all the noise is about. It's time to go behind the scenes with one of the world's oldest snack foods!
         
        So what makes popcorn pop? And why doesn't all corn pop when heated? The answer is a matter of simple science. Popcorn is a special kind of corn. Of all the types of corn, popcorn is the only variety that pops.
        
        Inside each kernel of popcorn is a tiny droplet of water surrounded by a hard shell called a hull. As the popcorn is heated, the water turns into steam, which builds pressure inside the kernel. When the hull can no longer contain the pressure — POP! — the kernel explodes and a fluffy new piece of popcorn is born.

References





[ ข่าวเคมีและเกร็ดความรู้ 6 ]

4 อาชีพเสี่ยง "โรคผิวหนังจากสารเคมี"

        โรงพยาบาลนพรัตนราชธานี กรมการแพทย์ เผยผู้ที่ทำงานในโรงงานอุตสาหกรรม และอาชีพเกษตรกรเสี่ยงโรคผิวหนังที่เกิดจากสารเคมี แนะสวมอุปกรณ์ป้องกัน หลีกเลี่ยงการสัมผัส หากมีอาการระคายเคือง หรือผดผื่นให้รีบไปพบแพทย์

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ โรคผิวหนังจากสารเคมี


โรคผิวหนัง จากสารเคมี


        นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า โรคผิวหนังที่เกิดจากสารเคมี เป็นโรคที่พบบ่อยมากในกลุ่มผู้ที่ทำงานก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรม และอาชีพเกษตรกรรม เนื่องจากปัจจุบันมีการใช้วัสดุและสารเคมีที่ทำให้เกิดโรคผิวหนังอย่างแพร่หลาย มีการใช้งานที่ไม่เหมาะสม หรือหากสัมผัสถูกผิวหนังโดยตรงโดยไม่มีเครื่องป้องกัน จะทำให้เกิดการระคายเคืองเกิดผื่นคันภูมิแพ้ที่ผิวหนัง และอาจเป็นโรคผิวหนังได้



อาชีพเสี่ยงโรคผิวหนังจากสารเคมี


อาชีพที่มีความเสี่ยงที่ก่อให้เกิดโรคผิวหนังจากสารเคมีได้แก่
        1.คนงานก่อสร้างที่ผสมปูนซีเมนต์

        2.คนงานในโรงงานที่เกี่ยวข้องกับโลหะ เครื่องหนัง ยางสีย้อมผ้า กาวพลาสติก เส้นใยแก้ว สีพ่น รวมทั้งน้ำมันเบนซิน และน้ำมันเครื่อง

        3.คนที่ต้องทำงานสัมผัสกับอุปกรณ์ที่ทำจากโลหะชุบนิกเกิล งานอุตสาหกรรมทำเครื่องหนัง ดอกไม้พลาสติก

        4.เกษตรกรที่ต้องใช้ปุ๋ยสารกำจัดแมลงศัตรูพืช


วิธีป้องกันโรคผิวหนังจากสารเคมี

        ผู้ที่ประกอบอาชีพดังกล่าวข้างต้นควรดูแลสุขภาพของตนเอง โดยเฉพาะผู้ที่เป็นภูมิแพ้ควรระวังเป็นพิเศษ โดยสวมอุปกรณ์ป้องกันสารเคมีก่อนเริ่มปฏิบัติงาน เช่น สวมถุงมือที่ทำจากวัสดุพีวีซีหรือยาง ใช้ผ้ากันเปื้อน หรือสวมชุดป้องกัน เป็นต้นโดยเลือกใช้อุปกรณ์ให้เหมาะสมกับงาน หากมีอาการแพ้หรือมีผื่นคันขึ้นตามผิวหนังให้รีบพบแพทย์ เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาต่อไป

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ชุดป้องกันสารเคมี
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ถุงมือจากท่อพีวีซี

แหล่งที่มา

วันอาทิตย์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2561

[ ChemNews 5 ]

Top Ten Toxic Food Ingredients in Processed Food

Any food that has been canned, dehydrated, or had chemicals added to it is a processed food, and these foods make up about 60 percent of the average American diet.
        EveryDay Health | Jillian Michaels | Most of us don't think of the food we eat as poison, but some of the ingredients commonly found in processed foods can be considered toxic. By "toxic," I mean chemicals or highly processed ingredients that aren't good for you or can cause harm to your health. I'm talking about refined grains, trans fats, high fructose corn syrup, and all the other artificial junk you can't even pronounce on the ingredient lists. Any food that has been canned, dehydrated, or had chemicals added to it is a processed food, and these foods make up about 60 percent of the average American diet. They've taken over, and we have to FIGHT BACK. Know which toxic food ingredients to avoid:
1. Palm Oil
        When a regular fat like corn, soybean, or palm oil is blasted with hydrogen and turned into a solid, it becomes a trans fat. These evil anti-nutrients help packaged foods stay "fresh," meaning that the food can sit on the supermarket shelf for years without ever getting stale or rotting. Eating junk food with trans fats raises your "bad" LDL cholesterol and triglycerides and lowers your "good" HDL. These fats also increase your risk of blood clots and heart attack. Avoid palm oil and other trans fats like the plague, and kiss fried foods goodbye too, since they're usually fried in one of these freakish trans-fatty oils.
2. Shortening
        Ditch any food that lists shortening or partially hydrogenated oil as an ingredient, since these are also evil trans fats. In addition to clogging your arteries and causing obesity, they also increase your risk of metabolic syndrome. Choose healthier monounsaturated fats, such as olive, peanut and canola oils and foods that contain unsaturated omega-3 fatty acids instead.
3. White Flour, Rice, Pasta, and Bread
        When a whole grain is refined, most of its nutrients are sucked out in an effort to extend its shelf life. Both the bran and germ are removed, and therefore all the fiber, vitamins, and minerals. Because these stripped down, refined grains are devoid of fiber and other nutrients, they're also easy to digest — TOO EASY. They send your blood sugar and insulin skyrocketing, which can lead to all sorts of problems. Replace processed grains with whole grains, like brown or wild rice, whole-wheat breads and pastas, barley, and oatmeal.
4. High Fructose Corn Syrup
        The evil king of all refined grains is high fructose corn syrup (HFCS). The amount of refined sugar we consume has declined over the past 40 years, but we're consuming almost 20 times as much HFCS. According to researchers at Tufts University, Americans consume more calories from HFCS than any other source. It's in practically EVERYTHING. It increases triglycerides, boosts fat-storing hormones, and drives people to overeat and gain weight. Adopt my zero-tolerance policy, and steer clear of this sweet "poison."
5. Artificial Sweeteners
        Aspartame (NutraSweet, Equal), saccharin (Sweet'N Low, SugarTwin), and sucralose (Splenda) may be even harder on our metabolic systems than plain old sugar. These supposedly diet-friendly sweeteners may actually be doing more harm than good! Studies suggest that artificial sweeteners trick the brain into forgetting that sweetness means extra calories, making people more likely to keep eating sweet treats without abandon. Nip it in the bud. Scan ingredient labels and ban all artificial sweeteners from entering your mouth.
6. Sodium Benzoate and Potassium Benzoate
        These preservatives are sometimes added to soda to prevent mold from growing, but benzene is a known carcinogen that is also linked with serious thyroid damage. Dangerous levels of benzene can build up when plastic bottles of soda are exposed to heat or when the preservatives are combined with ascorbic acid (vitamin C). Don't risk it, people
7. Butylated Hydroxyanisole (BHA)
        BHA is another potentially cancer-causing preservative, but it has been deemed safe by the FDA. Its job is to help prevent spoilage and food poisoning, but it's a major endocrine disruptor and can seriously mess with your hormones. BHA is in HUNDREDS of foods. It's also found in food packaging and cosmetics. BHA has many aliases. You can look them up. Or you can follow my advice and DITCH processed foods altogether.
8. Sodium Nitrates and Sodium Nitrites
        No that's not a typo. These two different preservatives are found in processed meats like bacon, lunch meat, and hot dogs. They're some of the worst offenders, and they're believed to cause colon cancer and metabolic syndrome, which can lead to diabetes. Protect your health by always choosing fresh, organic meats.
9. Blue, Green, Red, and Yellow
        The artificial colors blue 1 and 2, green 3, red 3, and yellow 6 have been linked to thyroid, adrenal, bladder, kidney, and brain cancers. Always seek out foods with the fewest artificial chemicals, especially when shopping for your kids. Look for color-free medications and natural food products that don't contain artificial colors like these.
10. MSG
        Monosodium glutamate is a processed "flavor enhancer." While glutamates are present in some natural foods, such as meat and cheese, the ones exploited by the processed-foods industry are separated from their host proteins through hydrolysis. The jury is still out on how harmful MSG may be, but high levels of free glutamates have been shown to seriously screw with brain chemistry. Don't fall prey to chemical flavor enhancing. Just play it safe and flavor your food naturally.

References




[ ChemNews 4 ]

Harmful Chemicals in Tobacco Products

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ Harmful Chemicals in Tobacco products

Tobacco smoke

        Cigarettes, cigars, and pipe tobacco are made from dried tobacco leaves. Other substances are added for flavor and to make smoking more pleasant. The smoke from these products is a complex mixture of chemicals produced by burning tobacco and its additives.
        Tobacco smoke is made up of thousands of chemicals, including at least 70 known to cause cancer. These cancer-causing chemicals are referred to as carcinogens. Some of the chemicals found in tobacco smoke include:· 

  • Nicotine (the addictive drug that produces the effect people are looking for and one of the harshest chemicals in tobacco smoke)
  • Hydrogen cyanide
  • Formaldehyde
  • Lead
  • Arsenic
  • Ammonia
  • Radioactive elements, such as uranium (see below)
  • Benzene
  • Carbon monoxide
  • Nitrosamines
  • Polycyclic aromatic hydrocarbons (PAHs)

        Many of these substances cause cancer. Some can cause heart disease, lung disease, or other serious health problems, too. Most of the substances come from the burning tobacco leaves themselves, not from additives included in cigarettes (or other tobacco products).

Radioactive materials in tobacco smoke

        Radioactive materials are in the tobacco leaves used to make cigarettes and cigars. These materials come from the fertilizer and soil used to grow the tobacco leaves, so the amount in tobacco depends on the soil the plants were grown in and the type of fertilizers used. These radioactive materials are given off in the smoke when tobacco is burned, which smokers take into their lungs as they inhale. This may be another key factor in smokers getting lung cancer.

[ ChemNews 3 ]

 

Why does chopping an onion make you cry?

        Onions produce the chemical irritant known as syn-propanethial-S-oxide. It stimulates the eyes' lachrymal glands so they release tears. Scientists used to blame the enzyme allinase for the instability of substances in a cut onion. Recent studies from Japan, however, proved that lachrymatory-factor synthase, (a previously undiscovered enzyme) is the culprit (Imani et al, 2002).
The process goes as follows:
  1. Lachrymatory-factor synthase is released into the air when we cut an onion.
  2. The synthase enzyme converts the amino acids sulfoxides of the onion into sulfenic acid.
  3. The unstable sulfenic acid rearranges itself into syn-ropanethial-S-oxide.
  4. Syn-propanethial-S-oxide gets into the air and comes in contact with our eyes. The lachrymal glands become irritated and produces the tears!
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ หั่นหัวหอม

[ ChemNews2 ]

First aid

These guidelines can help you care for minor cuts and scrapes:
        1.Wash your hands. This helps avoid infection.
        2.Stop the bleeding. Minor cuts and scrapes usually stop bleeding on their own. If needed, apply gentle pressure with a clean bandage or cloth and elevate the wound until bleeding stops.
        3.Clean the wound. Rinse the wound with water. Keeping the wound under running tap water will reduce the risk of infection. Wash around the wound with soap. But don't get soap in the wound. And don't use hydrogen peroxide or iodine, which can be irritating. Remove any dirt or debris with a tweezers cleaned with alcohol. See a doctor if you can't remove all debris.
        4.Apply an antibiotic or petroleum jelly. Apply a thin layer of an antibiotic ointment or petroleum jelly to keep the surface moist and help prevent scarring. Certain ingredients in some ointments can cause a mild rash in some people. If a rash appears, stop using the ointment.
        5.Cover the wound. Apply a bandage, rolled gauze or gauze held in place with paper tape. Covering the wound keeps it clean. If the injury is just a minor scrape or scratch, leave it uncovered.
        6.Change the dressing. Do this at least once a day or whenever the bandage becomes wet or dirty.
        7.Get a tetanus shot. Get a tetanus shot if you haven't had one in the past five years and the wound is deep or dirty.
        8.Watch for signs of infection. See a doctor if you see signs of infection on the skin or near the wound, such as redness, increasing pain, drainage, warmth or swelling.


References

[ ข่าวเคมีและเกร็ดความรู้ 5 ]

หินงอกหินย้อย 

กระบวนการเกิดหินงอก หินย้อย เกิดจากอะไร และเกิดขึ้นได้อย่างไร

        หินงอกหินย้อย คือปรากฏการณ์ชนิดหนึ่งที่เกิดต่อเนื่องกันมาเป็นเวลาหลายๆ พันหรือหมื่นปี ซึ่งส่วนใหญ่นั้นมักเกิดขึ้นในถ้ำหินปูน เพราะมีความชื้นอันเป็นปัจจัยของการเกิดขึ้นของปรากฏการณ์ประเภทนี้ ลักษณะของหินงอกหินย้อยนั้น เป็นหินที่ยื่นหรือหยดเข้าหากันคล้ายกับเป็นของเหลว โดยมากเราเรียกหินที่หยดลงมาจากด้านบนว่าหินย้อย และเรียกหินที่ยื่นขึ้นไปจากทางด้านล่างว่าหินงอก ซึ่งกระบวนการต่างๆ ที่ทำให้เกิดสภาพนี้นั้นสามารถอธิบายได้ดังต่อไปนี้
        1. หินงอกหินย้อยเกิดจากความชื้นต่างๆ ที่สะสมอยู่ในดิ้น คือเมื่อปลายยุคน้ำแข็ง หิมะเริ่มละลายตัว และความชื้นต่างๆ ก็ไหลมาสะสมในดิน หรือช่องว่างระหว่างดิน กลายเป็นธารน้ำใต้ดิน
        2. เมื่อน้ำใต้ดินนั้นรวมตัวกับคาร์บอนไดออกไซด์ ทำให้เกิดกระบวนการสึกกร่อน และเกิดเป็นกรดคาร์บอนิก ซึ่งเป็นกรดอ่อนชนิดหนึ่ง ซึ่งเมื่อหินปูนนั้นเจอกับกรดคาร์บอนิกที่สามารถกัดกร่อนหินปูนได้นั้น ก็จะทำให้เกิดช่องว่างขึ้น เล็กบ้างใหญ่บ้าง ซึ่งเราเรียกช่องว่างที่เกิดขึ้นใหม่นี้ว่า ถ้ำ
        3. หินย้อย เกิดได้จากกระบวนการเหล่านี้เอง คือกล่าวกันได้ว่า หินย้อยคือหินปูนที่ จับตัวกันเป็นแท่งหรือแผ่นย้อยลงมาจากเพดานถ้ำ ซึ่งเมื่อมีน้ำที่มีหินปูนสะสมอยู่หยดลงมาตามรอยแตกหรือรอยแยก ซึ่งเมื่อน้ำนั้นสูญเสียคาร์บอนไดออกไซด์ออกไป ก็จะทำให้เกิดสารประกอบประเภทคาร์บอเนต จากนั้นเมื่อเกิดการสะสมตัวพอกพูนมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เกิดเป็นแท่งหินที่ย้อยลงมาจากเพดานถ้ำ โดยมากมักมีลักษณะกลวงด้านใน
        4. หินงอก เป็นกระบวนการที่คล้ายกันก็คือ เกิดจากน้ำที่มีหินปูนสะสมอยู่ที่หยดลงมาจากเพดานถ้ำ สู่ชั้นหินเบื้องล่าง ความที่น้ำนั้นมีตะกอนหินปูนอยู่มาก เมื่อเกิดการสูญเสียคาร์บอนไดออกไซด์ไปจึงทำให้เกิดสะสมเป็นแท่ง ยื่นไปในอากาศสูงจากพื้นถ้ำ ซึ่งกระบวนการเกิดหินงอกหินย้อยนี้มีความสัมพันธ์กัน ดังนั้นเมื่อเกิดหินย้อยแล้วต้องมีหินงอกด้วย (ยกเว้นถ้ำที่ไม่มีพื้น) และเมื่อมีหินงอกต้องมีหินย้อยด้วยเช่นกัน

        สำหรับผู้ที่สนใจอยากจะเที่ยวชมถ้ำหินงอกหินย้อยนั้น ในประเทศไทยก็มีอยู่หลายที่ พบได้บ่อยทั่วไปทุกภาคของประเทศไทย เช่นถ้ำละว้า จ. กาญจนบุรี , ถ้ำดาวดึงส์ อ. ไทรโยค กาญจนบุรี , ถ้ำหินงอกวัดถ้ำสุมโน จ. พัทลุง เป็นต้น ซึ่งถ้ำทั้งสามผู้เขียนเคยได้ไปเยี่ยมชมมาแล้ว นับว่าสวยงาม และให้ความรู้เรื่องหินงอกหินย้อยได้ดีมากๆ ครับ เพราะเราจะสามารถมองภาพ และจินตนาการการเกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี

[ ข่าวเคมีและเกร็ดความรู้ 4 ]

เกร็ดความรู้วิชาเคมี เรื่องธาตุ

        ธาตุ คือ สารบริสุทธิ์ซึ่งประกอบด้วยอนุภาคมูลฐานเลขอะตอม อันเป็นจำนวนของโปรตอนในนิวเคลียสของธาตุนั้น ตัวอย่างธาตุที่คุ้นเคยกัน เช่น คาร์บอน ออกซิเจน อะลูมิเนียม เหล็ก ทองแดง ทองคำ ปรอท และ ตะกั่ว
        ไฮโดรเจนและฮีเลียมเป็นธาตุที่พบได้มากที่สุดในเอกภพ อย่างไรก็ดีออกซิเจนเป็นธาตุที่พบได้มากที่สุดในเปลือกโลก ประกอบกันเป็นครึ่งหนึ่งของมวลทั้งหมด แม้สสารเคมีทั้งหมดที่ทราบกันจะประกอบด้วยธาตุอันหลากหลายเหล่านี้ แต่สสารเคมีนั้นประกอบกันขึ้นเป็นเพียงราวร้อยละ 15 ของสสารทั้งหมดในเอกภพ ส่วนที่เหลือนั้นเป็นสสารมืด ซึ่งมิได้ประกอบด้วยธาตุเคมีที่มนุษย์รู้จัก เพราะไม่มีโปรตอนนิวตรอนหรืออิเล็กตรอน
        เชื่อกันว่าธาตุเคมีเกิดขึ้นจากกระบวนการของเอกภพหลายอย่าง รวมทั้งไฮโดรเจน ฮีเลียม และลิเทียม เบริลเลียมและโบรอนปริมาณน้อยกว่า เกิดขึ้นระหว่างบิกแบงและปฏิกิริยาการแตกเป็นเสี่ยงของรังสีคอสมิก (cosmic-ray spallation) การเกิดขึ้นของธาตุที่หนักขึ้นตั้งแต่คาร์บอนไปจนถึงธาตุที่หนักที่สุดนั้นเป็นผลจากการสังเคราะห์นิวเคลียสของดาวฤกษ์ และมหานวดาราได้ทำให้ธาตุเหล่านี้มีสำหรับระบบสุริยะเนบิวลาและการก่อตัวของดาวเคราะห์ และเหตุการณ์ของเอกภพซึ่งทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอื่น ๆ
        ซึ่งระเบิดธาตุที่สร้างขึ้นใหม่เหล่านี้จากดาวฤกษ์ออกสู่อวกาศ ขณะที่ธาตุส่วนใหญ่มักถูกมองว่าเสถียร แต่การแปรนิวเคลียส (nuclear transformation) ตามธรรมชาติของธาตุหนึ่งเป็นอีกธาตุหนึ่งนั้นยังดำเนินอยู่ในปัจจุบัน โดยการสลายตัวของธาตุกัมมันตรังสี เช่นเดียวกับกระบวนการนิวเคลียร์อื่น ๆ เช่น การยิงรังสีคอสมิกและนิวเคลียร์ฟิชชันตามธรรมชาติของนิวเคลียสธาตุหนักหลายชนิด
        เมื่อธาตุแตกต่างกันสองธาตุรวมตัวกันทางเคมี โดยมีอะตอมยึดเข้าด้วยกันด้วยพันธะเคมีผลที่ได้เรียกว่า สารประกอบเคมี สองในสามของธาตุเคมีที่พบได้บนโลกพบเฉพาะในรูปของสารประกอบ และในหลายกรณี หนึ่งในสามที่เหลือนั้นก็มักพบเป็นสารประกอบเป็นส่วนใหญ่ สารประกอบเคมีอาจประกอบด้วยธาตุที่รวมเข้าด้วยกันในสัดส่วนจำนวนเต็มแน่นอน ดังเช่น น้ำ เกลือแกง และแร่ อย่างควอตซ์ แคลไซต์และแร่โลหะบางชนิด
        อย่างไรก็ดี พันธะเคมีของธาตุหลายประเภทส่งผลให้เกิดเป็นของแข็งผลึกและอัลลอยโลหะ ซึ่งไม่มีสูตรเคมีแน่นอน สสารของแข็งส่วนใหญ่บนโลกเป็นประเภทหลังนี้ คือ อะตอมก่อเป็นสสารของเปลือกโลก แมนเทิล และแก่นโลกชั้นในก่อสารประกอบเคมีที่มีองค์ประกอบหลากหลาย แต่ไม่มีสูตรเอมพิริคัลแน่ชั
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ตารางธาตุ

หมู่ 1 กลุ่มโลหะแอลคาไลน์ (Alkali Metal)
 Li ลิเทียม Lithium
 Na โซเดียม Sodium
 K โพแทสเซียม Potassium
 Rb รูบิเดียม Rubidium
 Cs ซิเซียม Cesium
 Fr แฟรนเซียม Francium
หมู่ 2 กลุ่มโลหะแอลคาไลน์เอิร์ธ (Alkali Earth Metal)
Be เบริลเลียม Beryllium
Mg แมกนีเซียม Magnesium
Ca แคลเซียม Calcium
Sr สทรอนเทียม Strontium
Ba แบเรียม Barium
Ra เรเดียม Radium
หมู่ 8 กลุ่มก๊าซมีตระกูล หรือ แก๊สเฉื่อย (Noble Gas)
He ฮีเลียม Helium
Ne นีออน Neon
Ar อาร์กอน Argon
Kr คริปทอน Krypton
Xe ซีนอน Xenon
Rn เรดอน Radon
กลุ่มธาตุกึ่งโลหะ (Metalloid)
B โบรอน Boron
Si ซีลีคอน Silicon
Ge เจอร์เมเนียม Germanium
As สารหนู Arsenic
Sb พลวง Antimony
Te เทลลูเรียม Tellurium
Po พอโลเนียม Polonium
กลุ่มโลหะหลังทรานซิชั่น
Al อะลูมิเนียม Aluminum
Ga แกลเลียม Gallium
In อินเดียม Indium
Sn ดีบุก Tin
Tl แทลเลียม Thallium
Pb ตะกั่ว Lead
Bi บิสมัท Bismuth
กลุ่มโลหะทรานซิชั่น (Transition Elements)
Sc สแกนเดียม Scandium
Ti ไทเทเนียม Titanium
V วาเนเดียม Vanadium
Cr โครเมียม Chromium
Mn แมงกานีส Manganese
Fe เหล็ก Iron
Co โคบอลท์ Cobalt
Ni นิเกิล Nickel
Cu ทองแดง Copper
Zn สังกะสี Zinc
Y อิตเทรียม Yttrium
Zr เซอร์โคเนียม Zirconium
Nb ไนโอเบียม Niobium
Mo โมลิบดีนัม Molybdenum
Tc เทคนิเซียม Technetium
Ru รูทีเนียม Ruthenium
Rh โรเดียม Rhodium
Pd แพลเลเดียม Palladium
Ag เงิน Silver
Cd แคดเมียม Cadmium
Hf แฮฟเนียม Hafnium
Ta แทนทาลัม Tantalum
W ทันสเตน Tungsten
Re ริเนียม Rhenium
Os ออสเมียม Osmium
Ir อิริเดียม Iridium
Pt แพลทินัม Platinum
Au ทองคำ Gold
Hg ปรอท Mercury
กลุ่มแอ็กทิไนด์ (Actinide)
Ac แอกทิเนียม Actinium
Th ทอเรียม Thorium
Pa โพรแทกทิเนียม Protactinium
U ยูเรเนียม Uranium
Np เนปทูเนียม Neptunium
Pu พลูโตเนียม Plutonium
Am อเมริเซียม Americium
Cm คูเรียม Curium
Bk เบอร์คีเลียม Berkelium
Cf แคลิฟอร์เนียม Californium
Es ไอน์สเตเนียม Einsteinium
Fm เฟอร์เมียม Fermium
Md เมนเดลิเวียม Mendelevium
No โนโบเลียม Nobelium
Lr ลอว์เรนเซียม Lawrencium
กลุ่มแลนทาไนด (Lanthanide)
La แลนทานัม Lanthanum
Ce ซีเรียม Cerium
Pr เพรซิโอดีเมียม Praseodymium
Nd นิโอดิเมียม Neodymium
Pm โพรมีเทียม Promethium
Sm ซาแมเรียม Samarium
Eu ยูโรเพียม Europium
Gd แกโดลิเนียม Gadolinium
Tb เทอร์เบียม Terbium
Dy ดิสโพรเซียม Dysprosium
Ho โฮลเมียม Holmium
Er เออร์เบียม Erbium
Tm ทูเลียม Thulium
Yb อิตเทอร์เบียม Ytterbium
Lu ลูทิเทียม Lutetium
หมู่ 7 กลุ่มแฮโลเจน (Halogens)
F ฟลูออรีน Fluorine
Cl คลอรีน Chlorine
Br โบรมีน Bromine
I ไอโอดีน Iodine
At แอสทาทีน Astatine

กลุ่มอโลหะ (Non-Metals)
H ไฮโดรเจน Hydrogen
C คาร์บอน Carbon
N ไนโตรเจน Nitrogen
O ออกซิเจน Oxygen
P ฟอสฟอรัส Phosphorus
S กำมะถัน Sulfur
Se ซิลิเนียม Selenium